เดินจากป้ายรถประจำทาง “Misakikou” (ท่าเรือมิซากิ) ประมาณ 2 นาที ก็จะเห็นร้าน “มารุอิจิโชคุโด” สังเกตได้ง่ายจากป้ายสีแดงสด ที่นี่โด่งดังในฐานะร้านขายปลาด้วยค่ะ อาหารของที่นี่ทำจากปลาที่จับได้ในวันนั้นๆ ที่เจ้าของร้านเป็นผู้เลือกมาเอง ร้านที่แม้แต่คนท้องถิ่นก็ยังนิยมมาทานกันเป็นประจำค่ะ

โดยเมนูยอดนิยมของร้านนี้คืออาหารชุดปลาดิบที่ชื่อว่า “มารุอิจิมากุโระจิซาคานะโมริเทโชขุ” (ราคา 1,300 เยน ยังไม่รวมภาษี) ในชุดอาหารประกอบด้วยซาชิมิปลาทูน่าที่มีชื่อเสียงของมิอุระ / มิซากิ และปลาเนื้อขาว 2 ชนิดที่จับได้ในวันนั้น ชนิดของปลาท้องถิ่นที่จับได้ในแต่ละวันจะแตกต่าง กันไป เพราะฉะนั้นจะได้ทานอะไรก็ต้องมาลุ้นกันที่ร้าน พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเมนูที่อัดแน่นไปด้วย “ปลาที่อร่อยที่สุดของมิอุระในวันนั้นๆ” ค่ะ

นอกจากนี้ยังมีอาหารชุด “มิซากิจิซาคานะซันเต็นโมริเทโชขุ” (รวมปลาท้องถิ่นมิซากิ 3 ชนิด) (ราคา 1,500 เยน ยังไม่รวมภาษี) ที่อยู่ในภาพถ่าย และยังมีเมนูที่สามารถทานได้ทั้งโอโทโร่และจูโทโร่ “มารุอิจิมากุโระซันเต็นโมริเทโชคุ” (ราคา 1,500 เยน ยังไม่รวมภาษี) ซึ่งได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ทุกชุด จะมีข้าว, ซุปปลา, ของดอง และของทานเล่นถ้วยเล็กๆ ให้ด้วย ส่วนเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ “มารุอิจิมากุโระจิซาคานะโกะเต็นโมริเทโชขุ” (ปลามากุโระมารุอิจิกับปลาท้องถิ่นรวม 5 ชนิด) (ราคา 1,800 ยังไม่รวมภาษี)

ทว่าเนื่องจากร้านได้รับความนิยมมาก บางครั้งช่วงเที่ยงวันจะมีแถวยาว แต่ทางร้านก็มีระบบให้เขียนชื่อจองไว้ได้ก่อนร้านเปิด ดังนั้นท่านที่อยากจะเข้าร้านได้ทันที แนะนำให้มาเร็วหน่อยแล้วจองชื่อไว้ก่อน จากนั้นไปเดินเล่นรอที่ท่าเรือใกล้ๆ ก็ไม่เลวนะคะ

ร้าน “โชวะมารู” ซึ่งอยู่ใกล้กับป้ายรถประจำทาง Misakikou (ท่าเรือมิซากิ) เช่นเดียวกันนั้น มีจุดเด่นคือที่นี่จะสั่งปลามากุโระทั้งหมดโดยตรงจากเรือจับปลา เนื่องจากใช้ปลามากุโระที่สดมาก จึงสามารถเลือกสั่งมากุโระได้ทุกส่วน แม้แต่ส่วนที่หายาก

ร้านนี้เองก็มีอาหารที่ทำมาจากปลาทูน่าส่วนต่างๆ เช่นข้าวหน้าปลาทูน่าหรือปลาทูน่าย่าง เช่นเดียวกับร้านอื่นๆ ที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ในมิอุระ แต่ในบรรดานั้นเมนูที่อยากจะให้จับตามองมากที่สุดก็คือเมนูจากส่วนหายากของมากุโระค่ะ จากในรูปคือ “หัวใจปลามากุโระ” (ราคา 300 เยน ยังไม่รวมภาษี) มีลักษณะเด่นคือส่วนสีแดงที่เป็นเนื้อแน่นเคี้ยวหนึบ กับส่วนสีขาวที่นุ่มๆ กรุบๆ ทานคู่กับขิงและโชยุ หากโชคดีก็จะได้ทานหัวใจแบบดิบๆ ด้วยนะคะ! นอกจากนี้ยังมี “ไข่ปลาทูน่า” และ “กระเพาะปลาทูน่า” ด้วย (ทุกรายการราคา 300 เยน ยังไม่รวมภาษี) ไม่ว่ารายการไหนก็เป็นเมนูยอดนิยมเหมาะที่จะทานคู่กับเหล้าทั้งนั้นเลยค่ะ

นอกจากนี้ ที่โชวะมารูยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากมายที่ปรุงอาหารด้วยวิธีพิเศษและน่าสนใจ เช่นเมนู “สเต็กคางปลามากุโระหั่นเต๋า” ที่อยู่ในรูปถ่ายนี้ (ราคา 1,300 เยน ยังไม่รวมภาษี) เนื้อแน่นและฉ่ำราวกับกำลังกินสเต็กเนื้อวัวอยู่เลยค่ะ เมนูนี้มีรสเข้มอร่อย น่าจะช่วยให้ดื่มเหล้าได้อร่อยทีเดียวค่ะ

นอกจากนี้ ที่ชั้น 1 ยังมีร้านชื่อเดียวกันที่ขายอาหารประเภทข้าวหน้าต่างๆ เป็นหลักด้วยค่ะ จะเลือกร้านอาหารตามเมนูอยากทาน หรือเลือกจากร้านที่มีคนน้อยกว่าก็อาจจะช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้นนะคะ

แม้คาบสมุทรมิอุระจะมีชื่อเสียงเรื่องปลาทูน่า แต่ก็จะลืม “ปูอาราซากิ” ที่ได้ชื่อมาจากพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรไปไม่ได้เช่นกันคะ มันมีอีกชื่อหนึ่งว่าปูนม เพราะมีเอกลักษณ์ตรงเนื้อที่เข้มข้นเหมือนครีมนมเลยค่ะ โดยสามารถลิ้มลองได้อย่างเต็มที่ที่ “อาราซากิเทย์” แห่งนี้ค่ะ ที่นี่เจ้าของร้านใช้บ้านเป็นร้านอาหารไปในตัว ซึ่งเป็นร้านที่เป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นมากเลยล่ะค่ะ

เมนูยอดฮิตแน่นอนว่าต้องเป็น “เซ็ตปูอาราซากิ” (ราคารวมภาษีแล้ว 2,200 เยน) นี่คือเมนูสุดหรูที่มีทั้งปูอาราซากิต้มครึ่งปลาดิบที่เปลี่ยนไปตามวัน ข้าว, น้ำซุป, สาหร่ายฮิจิคิ, ของดอง และของหวาทำเองค่ะ เนื้อปูที่จะทานเปล่าๆ ก็อร่อยเนื่องจากมีรสเข้มข้น หรือจะเลือกทานคู่กับน้ำจิ้มที่ทำจากน้ำส้มสายชูผสมกับโชยุและมิรินก็ได้ค่ะ นอกจากนี้ เมนู “อาหารชุดประจำวัน” (ราคารวมภาษีแล้ว 1,200) ซึ่งรายการอาหารจะเปลี่ยนไปตามของที่เข้ามาในร้านในแต่ละวันก็เป็นที่นิยมเช่นกันค่ะ

ร้านอาหารนี้จะมีหน้าตาเหมือนกับบ้านคนทั่วไป ดังนั้นต้องมองหาโดยสังเกตจากป้ายเมนูที่อยู่ด้านหน้าค่ะ นอกจากนี้บางวันอาจจะได้ปูเข้ามาที่ร้านน้อยทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นก่อนจะเข้าไปที่ร้านแนะนำให้โทรไปสอบถามก่อนนะคะ

นอกจากนี้เดินห่างจากร้านออกไป 7 นาที จะพบกับ “Yokosuka Soleil Hill” สวนสนุกแนวธรรมชาติ ที่สามารถเพลิดเพลินกับธรรมชาติของคาบสมุทรมิอุระได้อย่างเต็มที่อีกด้วย มาเดินเล่นที่นี่ก่อนแล้วไปทานปูอาราซากิเป็นมื้อเที่ยงก็เป็นการท่องเที่ยวที่วิเศษมากเลยว่าไหมคะ

จากสถานี “Uraga” นั่งรถโดยสารประจำทางต่ออีก 10 นาที ก็จะเจอกับร้าน “คาโมะสึรุ” อยู่ริมถนน ติดกับท่าเรือประมงคาโมะอิและหาดทราย เป็นร้านข้างหุงปรุงรสที่เป็นที่นิยมของคนในท้องที่ค่ะ แม้ว่าค่อนข้างจะอยู่ห่างจากสถานี แต่ก็มีลูกค้าจากที่ต่างๆก็ มาทานไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเป็นที่รวมตัวกันของผู้เชี่ยวชาญด้านของกินเลยล่ะค่ะ

เมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็น “ข้าวหุงปรุงรส” (จานเดี่ยวราคารวมภาษีแล้ว 980 เยน) หากสั่งเป็นชุด (ราคารวมภาษีแล้ว 1,480 เยน) ก็จะมีปลาดิบจากปลาท้องถิ่นที่จับได้ ของทานเล่นถ้วยเล็กๆ 3 ถ้วย และของดองมาให้ด้วย โดยความพิถีพิถันของข้าวหุงปรุงรสที่นี่คือจะเริ่มทำเมื่อมีคนสั่งเท่านั้น ลูกค้าจึงจะได้ทานข้าวที่ทำเสร็จใหม่ๆ ได้เสมอ

ส่วนเนื้อที่ใช้ในการทำข้าวหุงปรุงรสก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้หมึกยักษ์ ปลาไท ปลาไหลทะเล หอยเชลล์ ปู หรือหอยตาวัว ซึ่งไม่ว่าจะเลือกอันไหนก็ราคาเท่ากัน โดยเนื้อที่คนสั่งกันมากที่สุดก็คือหมึกยักษ์ค่ะ นอกจากนี้ เจ้าของร้านยังกว่าอีกว่า “คาโมะอิแห่งนี้โด่งดังเรื่องที่สามารถเพาะเลี้ยงปลาไทได้เป็นแห่งแรกของญี่ปุ่น ไม่ทราบว่าด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ปลาไทก็เลยได้รับความนิยมมากครับ แถวนี้ยังมีคนที่เรียกปลาไทว่า “ปลาที” ตามอย่างสมัยนั้นอยู่ด้วยครับ”

เมนูกับข้าวจานเดี่ยวก็ได้รับความนิยม อย่างเช่นในรูปถ่ายนี่คือ “มากุโระโคร็อกเกะ” (ราคารวมภาษีแล้ว 220 เยน) แม้ว่าราคาจะเบาๆ แบบนี้ แต่ได้โคร็อกเกะขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ก่อนอื่นก็ลองทานแบบไม่ต้องใส่อะไรก่อน จากนั้นค่อยลองทานคู่กับโชยุและซอสดูนะคะ

จะนั่งทานที่ห้องเดี่ยวที่สามารถมองเห็นชายหาดได้ (ในภาพถ่ายด้านในสุด) ก็คงรู้สึกดีไม่น้อย แต่ยังไงขอแนะนำให้ลองนั่งตรงที่นั่งเคานเตอร์ดูนะคะ เพราะจะได้เห็นกระบวนการทำอาหารในระยะใกล้ ทำให้เพิ่มความประทับใจในการทานขึ้นได้ค่ะ

จากสถานี “Miurakaigan” เดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็จะเจอร้าน “ไคเซ็น” เป็นร้านซูชิจานหมุนที่ทำจากปลาที่จับได้จากท่าเรือประมงมิซากิค่ะ ถึงแม้ว่าจะชื่อว่าร้าน “จานหมุน” แต่สิ่งที่อยู่บนสายพานนั้นมีเพียงเหล้าเท่านั้น ไม่ได้มีซูชิวางอยู่ค่ะ เจ้าของร้านบอกว่า “อยากจะเสิร์ฟซูชิที่มีความสดใหม่ ทุกจานเลยจะปั้นหลังจากที่ได้รับออเดอร์แล้วเท่านั้นครับ”

แม้จะใช้ปลาที่มีความสดใหม่มากๆ แต่ราคานั้นแสนถูก เริ่มต้นเพียงจานละ 100 เยนเท่านั้น! (ราคาไม่รวมภาษี) จึงไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว คนในท้องถิ่นเองก็ยังนิยมมาทานกันอีกด้วย ในรูปถ่ายคือเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จูโทโร่ (ราคา 500 เยน ยังไม่รวมภาษี) และ “จิซาคานะเซ็ต” (ราคา 1,000 เยน ยังไม่รวมภาษี) หน้าซูชิจะเป็นหน้าอะไร ขึ้นอยู่กับปลาที่เข้าร้านมาในแต่ละวัน และยังมีเมนูแบบชุดสุดคุ้มให้สั่งอีกด้วยค่ะ

หากพูดถึงหน้าซูชิของปลาทูน่า...ส่วนมากกันจะนึกถึงอาคามิ จูโทโร่ โอโทโร่กันใช่ไหมคะ แต่ที่ “ไคเซ็น” นี้ มีหน้าซูชิที่ทำมาจากส่วนต่างๆ ของมากุโระ ด้วยวิธีการปรุงต่างๆ มากมายค่ะ เช่นในรูปคือหน้า “สเต็กฮงมากุโระเนื้อแดง” (ราคา 200 เยนยังไม่รวมภาษี) นอกจากนี้ยังมีซูชิหน้าเครื่องใน หรือหน้าเนื้อแก้มของปลาทูน่าอีกด้วย ท่านใดที่อยากจะดื่มด่ำไปกับปลาทูน่า “รสชาติต่างๆ” ในราคาเบาๆ ขอเชิญมาที่ร้านนี้ได้เลยค่ะ!

อนึ่ง ทางร้านไม่รับบริการโทรจองล่วงหน้า แต่ถ้าหากไปที่ร้านจะมีป้ายสำหรับเขียนชื่อจองให้อยู่ จึงสามารถตรวจสอบได้ค่ะว่าต้องรอประมาณเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถรู้ราคาของซูชิได้จากลวดลายของจานที่ต่างกันออกไปก็สะดวกมากเลยค่ะ

นอกจากร้านที่เราได้แนะนำไปในครั้งนี้แล้ว ที่คาบสมุทรมิอุระแห่งนี้ยังมีร้านอาหารทะเลอร่อยๆ อีกมากมาย สามารถเดินทางมาได้โดยรถไฟหรือรถโดยสารประจำทาง จะเดินทางไปไหนก็สะดวก ลองจัดแผนเที่ยว “ตระเวนกินอาหารทะเล” แล้วมาที่คาบสมุทรมิอุระกันดูหน่อยไหมคะ?