พื้นที่บริเวณชิบุยะและฮาราจุกุที่มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาลแม้จะเป็นวันธรรมดาก็ตาม
เป็นแหล่งรวมแฟชั่นและวัฒนธรรมย่อยต่าง ๆ และยังเป็นตัวจุดประกายการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น
อีกด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดศูนย์การค้าที่ส่งต่อความนิยมกันปากต่อปาก ทำให้เรา
สามารถค้นพบมุมมองใหม่ ๆ เมื่อได้มาเที่ยวอีกด้วย

การที่ย่านการค้าอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันถือกำเนิดขึ้นมาได้นั้น นับตั้งแต่การก่อสร้าง
สถานีรถไฟสายยามะโนะเตะ "สถานีชิบุยะ" ขึ้นมาในสมัยเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912)
เนื่องจากช่วงสงครามนิชชิน (สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งแรก) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น มีการ
จัดตั้งฐานทัพทางการทหารขึ้นที่บริเวณรอบชิบุยะ ทำให้มีทหารมากมายเข้ามาที่ชิบุยะ
จากนั้นจึงเกิดแหล่งช็อปปิ้งและห้างสรรพสินค้าขึ้นหลังการก่อตั้งเมืองชิบุยะตามลำดับ

สถานีรถไฟ "สถานีฮาราจุกุ" ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1906
เนื่องจากช่วงหลังสงคราม มีฐานทัพสำหรับทหารอเมริกาก่อตั้งขึ้นในบริเวณใกล้ ๆ กันนั้น
ทำให้มีร้านค้าสำหรับทหารอเมริกาเปิดให้บริการตามถนนโอโมเตะซันโดมากมาย
และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมปัจจุบันนี้เราจึงเห็นวัฒนธรรมของอเมริกามากมายในฮาราจุกุ

นับตั้งแต่เปิดทำการสถานีรถไฟ ทำให้ชิบุยะพัฒนาทั้งค่าครองชีพและแหล่งบันเทิงต่าง ๆ
ขึ้นมาอย่างมาก
นอกจากห้างสรรพสินค้าหลากหลายชนิดที่อยู่รอบบริเวณสถานีชิบุยะแล้ว ยังมีแหล่งช็อปปิ้ง
สำหรับวัยรุ่นเรียงรายอยู่อีกมากมาย
และด้วยกลยุทธ์ทางการค้าที่ปรับเปลี่ยนไปตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทำให้ในปัจจุบันก็ยังมี
การเปลี่ยนร้านใหม่ และรีโนเวทสิ่งปลูกสร้างอยู่เรื่อย ๆ เพื่อเป็นตัวตั้งต้นของการท่องเที่ยวใน
ญี่ปุ่นต่อไป

แยกสแครมเบิลเป็นแยกที่โด่งดังไปทั่วโลกที่สร้างความตื่นตาให้กับผู้พบเห็นในครั้งแรก
ด้วยการข้ามถนนจากทุกทิศทางพร้อมกันของคนเดินเท้าที่เดินสวนกันได้โดยไม่ชนกัน
กล่าวกันว่า ในช่วงเวลาที่มีคนเดินมาก จะมีคนเดินสวนกันมากถึงประมาณสามพันคน
ต่อการข้ามหนึ่งครั้งเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ที่นี่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและจุดถ่ายรูปในโตเกียว
แห่งหนึ่งด้วยเช่นกัน

"ฮาราจุกุแฟชั่น" เป็นแฟชั่นแขนงหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองฮาราจุกุ
ในสมัยปี ค.ศ. 1960 ฮาราจุกุเป็นเมืองที่มีนักสร้างสรรค์ผลงานอย่างนักออกแบบเสื้อผ้าอาศัย
อยู่มากมาย และเมื่อพวกเขาเปิดกิจการร้านค้าขึ้น ก็ทำให้แฟชั่นชั้นสูงตามแบบของนักออกแบบ
คนนั้น ๆ ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น
จนกระทั่งมาถึงปี ค.ศ. 1990 นักออกแบบหน้าใหม่ก็เริ่มไปเปิดร้านของตัวเองในอีกฝั่งของถนน
ที่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วมีค่าเช่าที่ถูกกว่า ถนนนั้นเรียกกันว่า "อุระฮาราจุกุ"
และที่นี่เองก็เป็นแหล่งผลักดันแฟชั่นแบบฮาราจุกุด้วยเช่นเดียวกัน

แม้เมืองฮาราจุกุจะมีอิมเมจของความ "ทันสมัย" อยู่มาก แต่ก็ยังมีศาลเจ้า (ของศาสนาชินโต)
และวัดวาอาราม (ของศาสนาพุทธ) หลงเหลืออยู่มากมายเช่นกัน
นอกจากนี้ สวนสาธารณะโดยรอบก็ยังอุดมไปด้วยธรรมชาติมากมายที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ไป
ตามฤดูกาลต่าง ๆ และในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผู้คนมากมายยังมาที่นี่เพื่อเข้าเยี่ยมชม
ศาลเจ้าเมจิด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นชิบุยะที่สามารถพาเราไปสัมผัสกับแฟชั่นที่ทันสมัยที่สุดในญี่ปุ่น หรือแหล่งกำเนิด
แฟชั่นเฉพาะตัวอย่างฮาราจุกุ ต่างก็มีคนเดินกันอย่างคับคั่งในถนนสายหลักทั้งนั้น ถ้าหากได้
ลองก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งแล้วจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นเมืองที่
สัมผัสได้ทั้งอดีตและอนาคตในเวลาเดียวกันเลยล่ะ