"ศาลเจ้าเนซุ" เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นโดยยามาโตะ ทาเครุ
เมื่อกว่า 1900 ปีก่อน บริเวณศาลเจ้าเป็นที่รู้จักกันในฐานะแหล่งชม
ดอกชวนชม (ดอกสึสึจิ) ที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ วิหารหลักและประตูสู่
วิหารทั้ง 7 ยังถูกเลือกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น
อีกด้วย หลังจากเข้าไปสักการะเสร็จแล้วก็ไปลอดประตูโทริอิที่เรียงราย
สองฝั่งของ "ศาลเจ้าโอโตเมะอินาริ" กันเถอะ ซึ่งประตูโทริอิเหล่านี้
ได้รับการอุทิศจากเหล่าผู้มานมัสการด้วยความศรัทธาและรู้สึกแทนคุณ
อย่างสุดซึ้ง
ประตูโทริอิที่เรียงซ้อนกันนี้ มีความสวยงามมาก และบรรยากาศแห่ง
มนต์ขลังนี้เองก็คงจะช่วยชำระล้างจิตใจให้เราอีกด้วย
-

"ย่านการค้ายะนะกะกินซ่า" ตั้งอยู่ห่างจากสถานีนิปโปะริประมาณ 5 นาที
ร้านค้ากว่า 70 ร้านตั้งเรียงกันอยู่ตามสองข้างทางของถนนสายเล็กที่ยาว
กว่า 160 เมตร เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็จะได้กลื่นหอมของร้านขายผักลอยฟุ้ง
ไปทั่ว พร้อมมีเสียงเรียกลูกค้าที่เปี่ยมชีวิตชีวาชวนให้ตื่นตาขึ้นมา
ที่นี่ผู้คนจะนิยมเดินทานอาหารอย่างสบาย ๆ ตามร้านต่าง ๆ กัน
เชิญมาเต็มอิ่มไปกับอาหารย่านแถบชานเมือง อาทิเช่น
เมนู "Genki Menchi Katsu" ที่ใช้เนื้อวัววากิวที่ผลิตในประเทศ
นำมาทอดกรอบ (ร้าน Niku no Suzuki) และมันหวานอบโรยงา
อย่างเมนู "Chonmage Imo" (ร้าน Chonmage Imo Tamaru) ฯลฯ

ร้าน "Niku no Suzuki" เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933
โดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบร้านจากร้านขายเนื้อวากิวโดยเฉพาะ
ปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารแสนอร่อยในที่สุด ซึ่งเมนูที่คิดค้นขึ้นมาคือ
"Genki Menchi Katsu" เมนูนี้เกิดจากการผสมผสานเนื้อซี่โครงเข้ากับ
เนื้อสะโพกอย่างลงตัว ทอดด้วยมันหมูทำให้ได้เนื้อหมูบดทอดที่ชุ่มฉ่ำ
นอกจากนี้ เนื้อหมูบดทอดจากร้าน "Niku no Sato" ร้านขายเนื้ออีกร้าน
ที่เปิดอยู่ในย่านยะนะกะกินซ่าก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เริ่มสนใจอยากลอง
ไปกินแล้วเปรียบเทียบรสชาติของเนื้อหมูบดทอดดูแล้วใช่ไหมล่ะ ?
-

เดินเล่นที่สุสานยะนะกะและเรียนรู้เรื่องราวหลุมฝังศพของญี่ปุ่น
-

"อาเมะไซคุ" เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านของญี่ปุ่น ที่จะใช้ความร้อนทำให้
น้ำตาลอ่อนตัวลง จากนั้นจึงใช้เพียงมือและกรรไกร 1 เล่ม ในการปั้นให้
เป็นรูปร่างขึ้นมา ว่ากันว่า เริ่มทำกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 และเริ่มผลิตเพื่อ
จำหน่ายโดยช่างฝีมือในเมืองตั้งแต่ช่วงยุคปี 1600
ส่วนสถานที่ที่เราสามารถซื้อและชมการปั้นอาเมะไซคุได้อย่างใกล้ชิดนั้น
ก็คือที่ "Amezaiku Yoshihara" ที่ร้านนี้เราจะเห็นช่างฝีมือปั้นอะเมะไซรัป
ขึ้นเป็นรูปร่างต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นการสร้างโครงร่างอันสวยงามด้วย
ความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
มาลองสัมผัสงานฝีมือพื้นบ้านของญี่ปุ่นนี้ด้วยตาและปากของคุณเองกันเถอะ
-

"Isetatsu" เป็นร้านขายกระดาษลายแบบเอโดะ (Edo-Chiyogami) ที่เปิด
ทำการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1864 โดยผู้ก่อตั้งร้านรุ่นแรก คุณทะสึโกะโร
ได้เริ่มสร้างร้านมาจากกิจการพิมพ์ภาพนิชิคิเอะ (ภาพวาดอุคิโยสีสันสดใส)
และพิมพ์การดาษลาย
"กระดาษลายแบบเอโดะ หรือเรียกว่า เอะโดะ-ชิโยะกะมิ" คือกระดาษที่มี
ลักษณะเด่นในการพิมพ์สีสันสดใสลงบนกระดาษแบบญี่ปุ่น โดยใช้แม่พิมพ์ไม้
ที่ถูกแกะสลักลวดลายลงไป
ภายในร้านประกอบด้วยสินค้าจากกระดาษลายสไตล์เอโดะมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นของใช้เล็ก ๆ ไปจนถึงผ้าเช็ดปากและผ้าเช็ดมือแบบต่าง ๆ
คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย หากคุณซื้อของชิ้นเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสีสัน
อันเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมนี้ไปเป็นของฝาก
-

บริเวณใกล้ ๆ กับย่านการค้ายะนะกะกินซ่านั้น มีสถานที่ที่เรียกว่า
"ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคนรักแมว" ซึ่งเต็มไปด้วยคาเฟ่แมวเหมียว
และร้านขายสินค้าต่าง ๆ เกี่ยวกับแมวตั้งอยู่มากมาย อีกทั้ง ยังมี
ขนมหวานยอดนิยมที่มีแมวเหมียวเป็นคอนเซ็ปต์มาตรฐานที่รวบรวม
ไว้ในย่านการค้ายะนะกะกินซ่านี้ เช่นโดนัทจากร้าน "Yanaka Shippo-ya"
และขนมฟุคุเนียงยากิจากร้าน "Maneki-ya"
นอกจากนี้ ร้าน "Kaiun Yanaka Dou" ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับ
"สถานีเซ็นดะกิ" ของสถานีรถไฟโตเกียว เมโทร ก็ยังเป็นร้านที่มีชื่อเสียง
ที่เต็มไปด้วยสินค้าแมวกวัก (Maneki-neko) ซึ่งเชื่อกันว่าจะกวักเรียก
โชคลาภต่าง ๆ ให้แก่ผู้คน นอกจากนี้ คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ร้านเดียวกันนี้
ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับขนมหวานและจานเซรามิก
รูปแมวกวักได้ด้วย แน่นอนว่าจานเซรามิกรูปแมวกวักญี่ปุ่นนี้
ยังสามารถนำกลับบ้านได้อีกด้วย
-

ร้าน "NEKOEMON Cafe" ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของตึกแถวยาว 4 ห้องในย่านซันซะกิซะกะ
ภายในร้านนี้ เราสามารถวาดลวยแมวกวักญี่ปุ่นบนเซรามิกไปพร้อม ๆ กับ
ดื่มชาหรือกาแฟ และทานขนมหวานที่มีแมวเหมียวเป็นคอนเซ็ปต์ได้
ใช้ปากการะบายสีที่ตนเองชอบลงไปบนแมวกวักที่เป็นเซรามิกสีขาว
ขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนอาหารที่สามารถสั่งทานได้ในร้านอย่างมองบลังค์
หรือเอแคลร์แมวเหมียวนั้นก็น่ารักมากเสียจนไม่กล้ากินเลยล่ะ
-

"Yanaka Oka no Eisen" เป็นร้านขนมหวานญี่ปุ่นที่เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900
อาคารไม้ที่สร้างขึ้นอย่างมีรสนิยมของร้านนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คของย่านยะนะกะ
และเป็นหนึ่งในจุดแวะของคอร์สเดินชมเมืองจากยะนะกะไปอุเอะโนะอีกด้วย
สินค้าที่ร้านนี้ภูมิใจนำเสนอก็คือ ไดฟุกุถั่วและขนมย่างที่เรียกว่า อุคิกุสะ
ขนมที่ร้านนี้ถูกทำขึ้นตามสูตรทีละชิ้น ๆ อย่างพิถีพิถันมาตั้งแต่สมัยก่อน
และเมื่อกัดเข้าไปแล้ว ความหวานละมุนก็จะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปากตามคำกล่าว
ของเจ้าของร้านที่ว่า "แม้เราจะผลิตขนมทีละมาก ๆ ไม่ได้ แต่เพื่อให้ลูกค้า
สามารถทานขนมได้อย่างสบายใจ เราจึงเลือกที่จะผลิตขนมในปริมาณที่
สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง" อย่างแท้จริง ตามย่านยะนะกะนั้นมีร้าน
ขนมหวานญี่ปุ่นโบราณตั้งอยู่มากมาย จึงอยากให้คุณลองแวะเข้าไปชม
ระหว่างการท่องเที่ยวดูให้ได้
-

"Asakura Choso Museum" เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ช่างแกะสลักตัวแทน
ของญี่ปุ่นยุคปัจจุบันอย่าง อะซะะคุระ ฟุมิโอะ เปิดสตูดิโอของตัวเองให้
บุคคลภายนอกเข้าชมได้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นสตูดิโอที่คุณอะซะคุระใช้
ทำงานมามากกว่า 29 ปีนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 นอกจากผลงานแกะสลัก
ที่นำมาจัดแสดงกลางสตูดิโอแล้ว ยังมีสวนญี่ปุ่นแบบเปิดโล่งที่สร้างขึ้น
อย่างมีลักษณะเฉพาะตัวเปิดให้ชมอีกด้วย เนื่องจากพิพิธภัณฑ์นี้เดิมเป็น
พื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้ต้องถอดรองเท้า และใส่ถุงเท้าเข้าชมเท่านั้น
ห้ามสวมสลิปเปอร์หรือเดินเท้าเปล่าเข้าไป
-

"Nenneko-ya" เป็นร้านกาแฟที่เปิดให้บริการในชั้น 1 ของบ้าน
ที่ตั้งอยู่ในเขตมิอุระซะกะของเมืองยะนะกะ ถึงแม้จะบอกว่าเป็น
ร้านกาแฟ แต่ภายในร้านก็มีแมวเลี้ยงที่ชอบนอนกลางวันนอน
กรนอยู่บ้าง นอนอาบแดดอยู่บ้าง เหมือนกับเป็น "บ้าน" ที่ให้เรามา
สัมผัสส่วนหนึ่งของชีวิตแบบชานเมืองไดไม่มีผิด
ร้านนี้ก็เป็นร้านกาแฟสไตล์นี้ล่ะ
นอกจากเมนูเครื่องดื่มอย่างชาโฮจิฉะ ชามะลิ ชาแดง และกาแฟ ฯลฯ
ยังมีแกงกะหรี่และสตูว์ด้วย มาลองจิบชาไปพลางสัมผัสความเป็นญี่ปุ่น
ไปพลางดูสิ เพียงแต่ระหว่างทางไปร้านนี้จะมีบ้านคน วัดวาอาราม
และพื้นที่ส่วนบุคคลอยู่ด้วย ขอให้รักษามารยาทแบบญี่ปุ่น และไม่เข้าไป
โดยพลการ
-

"แกงกะหรี่แมวเหมียว" นี้ แม้หน้าตาจะดูน่ารัก แต่มีรสชาติเผ็ดจี๊ดจ๊าด
เหมือนเป็นสัญลักษณ์ลักษณะนิสัยของแมวเลย
หากเข้ามาที่ร้าน Nenneko-ya แล้วล่ะก็ เมนูที่แนะนำคือ
"เซ็ตข้าวแกงกะหรี่แมวเหมียว" ที่เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มกับ
คุกกี้รูปอุ้งเท้าแมว เมื่อได้นั่งทานแกงกะหรี่ในห้องญี่ปุ่นนี้แล้ว
ก็จะเริ่มรู้สึกเหมือนมาเที่ยวบ้านของคุณป้าขึ้นมาไม่มีผิด
ถ้าโชคดีล่ะก็ พนักงานแมวประจำร้านที่อารมณ์แสนจะแปรปรวน
อาจจะมาเสิร์ฟให้คุณเองก็ได้ ตั้งตารอไว้ให้ดีล่ะ
-

Kyu-Iwasaki-tei เดิมถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1896 เพื่อเป็นที่อยู่
อาศัยหลักของฮิซายะ พี่ใหญ่ของอิวะซะกิ ยะตะโร ผู้ก่อตั้งหนึ่ง
ในสามตระกูล ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น
ส่วนที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน คืออาคารไม้แบบตะวันตกสองชั้น
พร้อมห้องใต้ดิน, บ้านกลางเขาแบบสวิสเซอร์แลนด์, ห้องบิลเลียด
ที่สร้างจากไม้และอาคารแบบญี่ปุ่นสามหลัง
อาคารแบบตะวันตกในช่วงที่ก่อสร้างนั้น ถูกใช้เป็นอาคารรับแขก
ของบ้านอิวะซะกิ และเชื่อมต่อกับห้องเล่นบิลเลียดด้วยทางเดินใต้ดิน
ส่วนอาคารแบบญี่ปุ่นส่วนมากจะใช้เป็นที่พักอาศัยและใช้ชีวิตทั่วไป
ซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อกับอาคารแบบตะวันตก และยังถูกเลือกให้เป็น
มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นในสมัยนั้น
อีกด้วย
-